พบโชคสองชั้น หนังไทยแท้เรื่องแรก
เช้าวันพุธที่
1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538
เมื่อเปิดกระป๋องบรรจุฟิล์มภาพยนตร์กระป๋องหนึ่งจากชั้นเก็บฟิล์มภาพยนตร์ที่เรียกว่ากลุ่มภาพยนตร์กรมรถไฟหลวง
เพื่อจัดเตรียมให้เจ้าหน้าที่พิมพ์สำเนาภาพยนตร์ของหอภาพยนตร์แห่งชาตินำไปพิมพ์ถ่ายทอดเพื่ออนุรักษ์ภาพยนตร์เหล่านี้ไว้ซึ่งเป็นภาระที่หอภาพยนตร์แห่งชาติค่อยทำค่อยไปมาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2529 ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้พบฟิล์มต้นฉบับของภาพยนตร์ไทยแท้เรื่องแรก คือ “โชคสองชั้น” ของ กรุงเทพฯ
ภาพยนตร์บริษัท พ.ศ. 2470 ซ่อนอยู่ในกระป๋องนั้น
และนอนสงบอยู่ในหอภาพยนตร์แห่งชาติมาถึงสิบปีเต็ม
กระป๋องฟิล์มนี้
พบครั้งแรกที่อาคารโรงพิมพ์การรถไฟแห่งประเทศไทย ย่านถนนรองเมืองซอย 2 เมื่อปี
พ.ศ. 2524 ครั้งนั้นได้ตรวจดูคร่าวๆ เพื่อทำบัญชี
และได้เขียนสลากปิดบนหน้ากระป๋องว่า มี 4 ขดย่อย NO 44
1. ก. 12 ม้วนที่ 2 ยาว
60 ฟิต (หัวฟิล์มเป็นภาพชาวบ้านเล่นน้ำในบึง)
2. ก. 12 ม้วนที่ 3 ยาว
284 ฟิต (หัวฟิล์มเป็นรูปชาวบ้านยืนล้อมวง)
3. ก.12 ม้วนที่ 4 ยาว 56 ฟิต (หัวฟิล์มเป็นภาพต้นไม้,บ้าน)
4. ก.12 ม้วนที่ 1 ยาว 140 ฟิต (หัวฟิล์มเป็นภาพถนน)
สภาพ 1.ดี 2.ดี
3.พอใช้ 4.พอใช้ (ฟิล์มเริ่มเยิ้ม)
NEGATIVE ตรวจ 6.7.81
โดมได้พบและเคยตรวจฟิล์มในกระป๋องนี้มาแล้ว เมื่อวันที่6
กรกฎาคม 2524
ซึ่งคราวนั้นได้พบและรวบรวมฟิล์มภาพยนตร์ที่การรถไปแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นฟิล์มเก่าจากสมัยรัชการที่ 7
เป็นผลงานของภาพยนตร์เผยแพร่ข่าวกรมรถไฟหลวง ระหว่างปี พ.ศ. 2469 ถึง พ.ศ. 2484
ได้บัญญัติบัญชีลงทะเบียนไว้รวมทั้งหมด 290 รายการ
(กระป๋องที่กล่าวถึงเป็นรากการที่ 44) ฟิล์มภาพยนตร์ของกรมรถไฟหลวงนี้
เกือบทั้งหมดเป็นฟิล์มต้นฉบับเนกาทีฟ จากกล้องถ่ายภาพยนตร์ ขนาด 35 มิลลิเมตร
ขาวดำและเป็นฟิล์มซึ่งฐานฟิล์มเป็นวัสดุที่เรียกว่า ไนโตรเซลลูโลส
หรือเรียกง่ายๆว่า ฟิล์มไนเตรต
อันเป็นวัสดุฟิล์มที่อุตสาหกรรมผลิตฟิล์มเลิกผลิตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493
เพราะวัสดุวาบไฟ
อาจลุกไหม้และระเบิดรุนแรงได้ทั้งยังไม่สามารถเก็บรักษาให้คงสภาพหรือมีอายุยืนนานได้
แต่ยังมีอายุขัยอยู่ได้ประมาณ 50 ถึง 70 ปี ก็จะหมดอายุเสื่อมสภาพเป็นผุยผง เมื่อวันที่พบฟิล์มนี้ครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2524 ฟิล์มภาพยนตร์เหล่านี้ต่างมีอายุห้าสิบกว่าปีเข้าไปแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นบั้นปลายของชีวิต
อาจเสื่อมสภาพได้ทุกขณะ และจำนวนหนึ่งได้เสื่อมสภาพในอาการต่างๆ ไปแล้ว
(ดูลายละเอียดเรื่องนี้ได้จากบทรายงานเรื่อง “ขุดกรุหนังเก่าของกรมรถไปหลวงโดย
สุขวงศ์ ในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 2 ฉบับที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2524’’ ฟิล์มภาพยนตร์เหล่านี้
ต่อมาการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มอบให้แก่กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
ในปีเดียวกันนั้น หลังจากนั้นราวหนึ่งปีเศษ
กองจดหมายเหตุแห่งชาติได้นำไปมอบแก่โครงการอนุรักษ์ภาพยนตร์ในประเทศไทย
วิทยาเขตเทคนิคกรุงเทพ เมื่อปี พ.ศ. 2546
สุดท้ายเมื่อกรมศิลปากรจัดตั้งหอภาพยนตร์แห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2527
หอภาพยนตร์แห่งชาติจึงขอรับมอบฟิล์มภาพยนตร์เหล่านี้มาดำเนินการอนุรักษ์
ซึ่งได้ค่อยทำค่อยไป จนบัดนี้อนุรักษ์ไว้ได้กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
นายกมล มาโนช
(แสดงโดยมานพ ประภารักษ์) พระเอกของเรื่อง เป็นนายอำเภอหัวเมืองฝ่ายเหนือ
ได้รับมอบหมายให้ลงมาสืบจับผู้ร้ายคนหนึ่งซึ่งซ้อนตัวอยู่ในกรุงเทพ
นายกมลเข้ามาพักอยู่ที่บ้านพระยาพิชัย (แสดงโดย อุทัย อินทร์วงศ์)
และมีหลานชื่อว่า นางสาววลี ลาวัณยลักษณ์ (แสดงโดย หม่อมหลวงสุดจิตตร์ อิศรางกูร)
ซึ่งทั้งสองได้พับรักกันโดยเร็ว แต่นายวิง ธงสี (แสดงโดย มงคล สุมนนัฏ)
ซึ่งหมายปองนางสาววลีอยู่แล้วและชอบไปมาหาสู่พระยาพิชัยเป็นเนือง ๆ
และนายวิงคนนี้ก็คือคนร้ายที่นายกมลกำลังสืบจับอยู่นั่นเอง
นายวิงไหวตัวทันเรื่องนายกมลตามคนร้าย จากนั้นนางวิงก็วางแผนร้ายโดยส่งพรรคพวกลูกสมุนเข้ามาทำร้ายนายกมล
แต่นายกมลมีความชำนาญในการระวังภัยจากโจร จึงต่อกรขัดขวางกำลังได้
จนนายวิงและพรรคพวกต้องหลบหนีไป นายกมลไล่ตามจับแต่เกิดหลงทาง นายวิงได้วกกลับมาที่บ้านพระยาพิชัยและจับนางสาววลีไป
แต่นายกมลมีเชาวน์ที่ดี เข้าใจว่าเป็นแผนลวง จึงวกกลับบ้านพระยาพิชัย
และได้พบนายวิง นายกมลจึงตามล่านายวิงไปจนสุดทางและเกิดการต่อสู้ขึ้น
จนกระทั่งตำรวจที่พระยาพิชัยโทรไปแจ้งมาสมทบร่วมจับนายวิงและสมุนได้ทันเวลา
นายวิงจึงถูกตำรวจจับเข้าตะราง ส่วนนายกมลมีโชคสองชั้น นอกจากจะจับผู้ร้ายได้แล้วยังได้นางสาววลีมาเป็นภรรยาอีกด้วย
นักแสดง
- มานพ ประภารักษ์ รับบท นายกมล มาโนช
- หม่อมหลวงสุดจิตตร์ อิศรางกูร รับบท นางสาววลี ลาวัณยลักษณ์
- มงคล สุมนนัฏ รับบท นายวิง ธงสี
- อุทัย อินทร์วงศ์ รับบท พระยาพิชัย
ที่มา
ภาพจากภาพยนตร์
ภาพจากภาพยนตร์
ในช่วงที่มานิต วสุวัต เจ้าของหนังสือพิมพ์ศรีกรุง ทำหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษชื่อ Liberty หลวงบุณยมานพพานิช เจ้าของนามปากกา "แสงทอง"
ได้รับคำชวนให้ร่วมงานเขียนด้วย ต่อมาปลายปี พ.ศ. 2469 หลวงสุนทรอัศวราช
ข้าราชการถูกดุลย์กับคณะ
กำลังก่อตั้งบริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทยและประกาศสร้างหนังไทยเรื่องแรก
แต่ประสบปัญหาระหว่างการดำเนินการ หลวงกลการเจนจิต
หัวหน้ากองภาพยนตร์เผยแพร่ข่าว
กรมรถไฟที่หลวงสุนทรอัศวราชติดต่อวางตัวเพื่อจ้างให้เป็นทีมช่างถ่าย ภาพยนตร์
ที่รอความคืบหน้า หมดความอดทน จึงปรึกษากับคณะพี่น้องวสุวัตที่ประสงค์จะสร้างภาพยนตร์ไทย
แล้วรวมกันเตรียมงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
ก่อนดำเนินการ พี่น้องวสุวัตเข้าปรึกษากับนายเซียวซองอ๊วน สีบุญเรือง
ผู้จัดการใหญ่โรงภาพยนตร์ เพื่อตกลงความร่วมมือในการก่อตั้งบริษัทภาพยนตร์ ชื่อ
บริษัท กรุงเทพภาพยนตร์ ทีมงานประกอบด้วย หลวงกลการเจนจิต และนายกระเศียร วสุวัต
แห่งกรมรถไฟหลวง รวมทั้ง หลวงอนุรักษ์รัถการ
(เปล่ง สุขวิริยะ) ข้าราชการกรมรถไฟหลวง ซึ่งเคยเป็นเลขานุการของกรมหลวงกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ผู้คอยตามเสด็จไปดูงานในต่างประเทศที่เคยดูงานโรงถ่ายภาพยนตร์ในฮอลลีวูดมาแล้ว เป็นผู้กำกับแสง และได้ หลวงบุณยมานพพานิช
เป็นผู้ประพันธ์
โชคสองชั้น (Double Luck)เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างและผลิตโดยคนไทยสำเร็จเป็นครั้งแรก
เป็นหนังเงียบ ถ่ายทำด้วยฟิล์มขาว-ดำ ขนาด 35 มม. จำนวน 6 ม้วน ประมาณ 90 นาทีผลิตโดย กรุงเทพภาพยนตร์ บริษัท (ต่อมา คือ
บริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง) ของ มานิต
วสุวัต
ร่วมกับคณะนักหนังสือพิมพ์สยามราษฎร์ และศรีกรุง
เข้าฉายครั้งแรกเมื่อ
30 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร มีจำนวนผู้ชมสูงสุด 4 คืน กับ 1 วัน เท่ากับ
12,130 คน ทำลายสถิติเมื่อสี่ปีก่อนหน้าเรื่อง นางสาวสุวรรณ
ปัจจุบันหนังเรื่องนี้เสียหายจากความเสื่อมสภาพ
โดยหอสมุดแห่งชาติได้ค้นพบฟิล์มและพิมพ์สำเนาใหม่เอาไว้ได้เพียง 82
ฟุต คิดเป็นภาพนิ่งทั้งหมด 1,319 ภาพ รวมความยาวประมาณ 1 นาที
ล่าสุดได้รับคัดเลือกขึ้นทะเบียนเป็น
มรดกภาพยนตร์ของชาติ ประจำปี 2555 เนื่องในวันอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทย (4 ต.ค.)
ของ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ขณะมีอายุเก่าแก่ที่สุด 85 ปี ในบรรดา 25 เรื่อง
อ้างอิง
1.
โดม สุขวงศ์ ,สยามภาพยนต์ ,หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน),2555 ISBN:978-616-543-173-6 หน้า 263
2.
จุลสารทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ 2 (2555)
5.
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ,4 ต.ค.2555
6.
วีระยศ สำราสุขทิวาเวทย์,
คอลัมน์หนังกับหนังสือ ,นิตยสารศิลปวัฒนธรรม
ฉบับปีที่ 29 ฉบับที่ 6 เมษายน 2551 หน้า 26
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น